วันศุกร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2560

ข้าวหน้าไก่

ข้าวหน้าไก่



เครื่องปรุง
ข้าวสวย                              3   ถ้วย
หน้าอกไก่                           1   ถ้วย 
ซีอิ้วขาว                              2   ช้อนชา
น้ำมันงา                              1   ช้อนชา
แป้งมัน                               1   ช้อนโต๊ะ
น้ำมันไก่                             1/4 ถ้วย
กระเทียม                            2   กลีบ
ขิงอ่อนซอย                        1/4 ถ้วย
น้ำตาลทราย                       1/2 ช้อนชา
เกลือ                                   1/4 ช้อนชา
น้ำส้ม                                  1 1/2 ช้อนโต๊ะ
ต้นหอมผักชีโรยหน้า
แตงกวา                              2   ผล
พริกไทยป่น
พริกชี้ฟ้าเขียวแดง              2   เม็ด

วิธีทำ
1. ก่อนอื่นหมักไก่เสียก่อน โดยผสมแป้งมัน ซีอิ้วขาว น้ำมันงา คนพอเข้ากัน เอาเนื้อไก่ที่หั่นเป็นชิ้นผสมลงเคล้าให้เข้ากัน ทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง
2. นำขิงมาหั่นเพื่อดอง ตวงน้ำส้ม น้ำตาล เกลือ คนให้ละลาย เอาขิงอ่อนที่หั่นแล้ว มาขยำกับเกลือเล็กน้อย แล้วล้างด้วยน้ำสุก บีบน้ำให้แห้ง ไส่ลงในถ้วยผสมน้ำสัม น้ำตาล และเกลือ ถ้าอยากได้สีแดง บีบมะนาวลงไปเล็กน้อย เคล้ากับขิงอ่อนก่อนไปคลุกส่วนผสม
3. เอากระทะตั้งไฟ ไส่น้ำมันไก่ เอากระเทียมที่ทุบแล้วไส่ เอาตะหลิวคนพอเหลือง เอาไก่ที่หมักไว้ลงผัดให้หอม ถ้าชอบน้ำมากเติมน้ำซุปลงไป และแป้งลงไปเล็กน้อย พอให้ข้นๆ  
4. นำไปราดข้าว ที่โรยด้วยซีอิ้วขาว น้ำมันไก่ที่มีมันไก่เจียวอยู่ด้วยก็ยิ่งหอมขึ้น  ตักขิงดอง แตงกว่าหั่น พริกชี้ฟ้าหั่น เหยาะพริกไทย โรยผักชี และต้นหอมทั้งต้น จะอร่อยมาก

วันพุธที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2559

อยู่อย่างไรให้ไกลโรคร้าย



อยู่อย่างไรให้ไกลโรคร้าย

การดูแลสุขภาพที่ดี เป็นการดูแลความเป็น กรด-ด่าง ในเลือด (หยิน-หยาง) ซึ่งมีผลต่อระดับสารพิษในเลือด ซึ่งส่วนใหญ่ร่างกายเราได้รับมาจาก

1. มลภาวะเป็นพิษทางอากาศ เช่น ควันเสียจากรถยนต์  ยาฆ่าแมลง 

2. มลภาวะทางน้ำ เช่นน้ำจากท่อประปา แม้ว่าจะมาจากการประปา แต่ไม่ไช่ว่าจะปลอดภัย เนื่องจากระหว่างทาง มีสนิมจากท่อเหล็ก สารคลอรีน  ซึ่งเมื่อมีการสะสมของสนิมในร่างกายมากๆ ก็ก่อโรคมะเร็งได้ สารชำระล้างต่างๆ ที่ละลายในน้ำ

3. สารพิษจากสิ่งที่มองไม่เห็น มาจาก

    3.1  อาหารที่เรารับประทานทุกวัน กินประจำซ้ำซากทั้งเด็กและผู้ใหญ่ โดยเฉพาะจากนมวัว เริ่มมีการบริโภคมากขึ้น จากงานวิจัย คน 80,000 คน มีคนที่บริโภคนม แล้วเกิดโรคมะเร็งแล้วเพิ่มขึ้นเท่าตัว เพราะปัจจุบัน การเลี้ยงนมโดยใช้อาหารสัตว์ที่เร่งน้ำนมให้วัวมีนมใหญ่ขึ้น มีการตัดต่อสายพันธุ์ของวัว เมื่อเรากินนมวัว ทำให้เราได้รับสารอาหารที่ทำให้เซลในร่างกายเรามีความผิดปกติมากขึ้น ทำให้เกิดมะเร็งเต้านม คนที่กินนมวัว จะเป็นมะเร็งมากกว่าคนที่ไม่กิน
     
   3.2 การบริโภคไก่ ไก่บ้าน ไม่มีปัญหา แต่ไก่เลี้ยงจากฟาร์ม จะมีการใช้สารอาหารเร่งโต เมื่อเรารับประทานเข้าไปทำให้ร่างกายคนเราโตเร็วขึ้น เกินกว่าอายุ เด็กผู้หญิงจะมีประจำเดือนเร็วขึ้น เด็กผู้ชายจะโตไวขึ้น ส่วนผู้หญิงที่เป็นผู้ใหญ่จะเป็นมะเร็งเต้านม ผู้ชายจะเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก

   3.3 ผลไม้ ที่มีการตัดต่อพันธุกรรม เช่นองุ่นไร้เม็ด แตงโมไร้เม็ด เป็นพืชที่เป็นหมัน เท่ากับร่างกายเรารับพันธุกรรมที่เป็นหมันเข้าไป

   3.4 การเผาผลาญอาหารของร่างกาย ถ้าเราออกกำลังกายมากขึ้น ร่างกายของเราต้องการออกซิเจนมากขึ้น เพื่อให้คาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดลดลง ถ้าในเลือดคาร์บอนไดออกไซด์สะสมมาก ทำให้เลือดเป็นกรด ดังนั้นต้องเติมเต็มออกซิเจนในร่างกายให้ทัน

   3.5 ร่างกายสร้างสารพิษเอง เช่น เครียส โมโห ภาวะความเป็นกรดในร่างกายจะสูง เกิดความร้อนในร่างกาย

   3.6 เชื้อโรคต่างๆ ไม่ไช่แค่แบคทีเรีย หรือไวรัส แต่มีพวกพาราสิต หรือพยาธิ มีหลายสายพันธุ์ที่เราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เช่นมาจากไรฝุ่น พื้นที่นั่ง สัตว์เลี้ยง 
   
   3.7 บุหรี่ จะมีควันจากคาร์บอนไดออกไซด์ และสารพิษจากบุหรี่ การสูบบุหรี่ 1 มวนจะทำให้อายุสั้นลง 11 นาที

ในภาวะปกติของความสมดุลย์ของกรดและด่างในเลือดจะมีค่า pH 7.35-7.45 ซึ่งจะมีความเป็นด่างนิดๆ แต่ถ้าเลือดเป็นกรด เช่นคนเป็นเบาหวาน จะมีค่า pH เท่ากับ 0 หรือค่าเป็นด่างเท่ากับ 7 ถ้าร่างกายของเราสามารถควบคุมให้อยู่ในระหว่างนี้ได้ ทำให้เม็ดเลือดแข็งแรงดี ความสามารถในการนำพาออกซิเจนต่างๆ ทำได้ดี ในการสร้างภูมิคุ้มกัน การทำงานต่างๆ ก็จะดี
เลือดของคนเป็นมะเร็งจะมีค่า pH ไปทางกรด คือ 7.2-7.25 ภาวะของเลือดเป็นกรด (ketoacidosis) ทำให้กระตุ้นให้เกิดมะเร็ง และกระตุ้นให้เกิดอาการต่างๆ ได้เช่นกัน ถ้าเลือดเป็นกรด ร่างกายจะมีการสะสมไขมันเพิ่มขึ้น มีการเผาผลาญที่ต่ำลง คนอ้วนเมื่อเจาะเลือดแล้วพบว่าจะมีค่าเป็นกรดมากกว่า ถ้าอยากให้ร่างกายสวยผอม คือป้องกันไม่ให้เลือดเป็นกรดมากเกินไป ถ้าเราอยากอยู่ในสภาพที่แข็งแรง ไม่ต้องนั่งรถเข็นไปตลอดชีวิตตอนแก่

อีกตัวที่เราพบว่าทำให้แก่เร็วคือ (Free-radical) อนุมูลอิสระ ซึ่งมีความสัมพันธ์กับภาวะความเป็นกรดในเลือด ถ้าเรามีกรดในเลือดเพิ่มขึ้น แสดงว่าทำให้คนแก่ก่อนวัย ถ้าเลือดเป็นกรดทำให้มีอนุมูลอิสระมากขึ้น ทำลายเซลผิว ทำลายเซลประสาท ทำลายเซลกล้ามเนื้อต่างๆ  ความเป็นกรด มีผลต่อออกซิเจนในเลือด แสดงว่าคารบอนไดออกไซด์ในเลือดเยอะกว่า เมื่อออกซิเจนต่ำลง ทำให้เชื้อโรคต่างๆ เจริญเติบโตได้ดีในร่างกายอย่างผิดปกติ เช่น เท้าเน่า โรคคันตามตัว โดยเฉพาะ ปรสิต ไวรัส แบคทีเรีย ทำให้เกิดโรคง่าย

ภาวะความเป็นกรดทำให้เลือดเสียสมดุลย์ เช่นภาวะของตับ เมื่อเลือดเป็นกรดมาก ตับจะสะสมไขมันมาก จนมีภาวะตับแข็ง  เกิดนิ่วในไต และถุงน้ำดี กระทบกระเทือนไปถึงหลอดเลือด เกิดลิ่มเลือดจากไขมัน เกิดการอุดตันของหลอดเลือดได้มากขึ้น โอกาสเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจได้มากขึ้น

โรคเบาหวาน จะมีน้ำตาลในเลือดมากกว่าคนปกติ เพราะเซลเอาน้ำตาลไปใช้ไม่ได้ ทำให้น้ำตาลลอยอยู่ในเลือด ถ้าไปค้างอยู่ในอวัยวะใดนานเกินไป จำทำให้เม็ดเลือดเสียประจุ ทำให้เม็ดเลือดไปเกาะกับเป็นแพ จะเกิดอาการชาตามปลายอวัยวะต่างๆ เช่น ปลายมือ ปลายเท้า ปลายประสาท หรือจอประสาทตา เมื่อมีการเกาะตัวหรือเหนียวตัวของเลือด ทำให้เลือดลอยเป็นแพ ไม่สามารภไปเลี้ยงเนื้อเยื่อตรงจุดไหนได้ จุดนั้นก็จะเกิดเนื้อตาย ทั้งๆ ที่ไม่ได้เกิดบาดแผลมาก่อน วิธีแก้คือต้องเติมด่างลงไป อวัยวะที่ขาดเลือดไม่มีแค่ปลายมือ ปลายเท้า แต่บางทีอาจเป็นเรื่องของไต ด้วย ภาวะเบาหวานเชื้อโรคจะโตเร็วมากกว่าปกติ ทำให้แผลหายช้า

โรคเก๊าต์  เกิดจากกรดยูริคมากเกินไป คนปกติจะสามารถใช้โปรตีนและย่อยโปรตีนได้ทั้งหมด แต่คนเป็นเก๊าต์ เมื่อโปรตีนสลายแล้ว ร่างกายไม่สามารถขับยูริคออกได้ทั้งหมด ก็จะเกิดการสะสมตามข้อต่างๆ เป็นตะกอน เกิดการเจ็บตามข้อมากๆ ถ้ามียูริคสูง โรคเก๊าต์ก็กำเริบ

โรคข้ออักเสบ กระดูกอักเสบ เมื่อเลือดเป็นกรด ร่างกายพยายามหาด่างมาปรับสมดุลย์ ซึ่งแหล่งที่หาง่ายที่สุดคือแคลเซียม ซึ่งมีความเป็นด่าง โดยดึงจากกล้ามเนื้อและกระดูก ค่อยๆ ดึงมาทุกวัน ระยะยาว 5-20 ปี เกิดโรคกระดูกพรุน สังเกตว่าคนสูงอายุบางคนจะมีลักษณะเตี้ยลงหรือหลังค่อม กระดูกสันหลังเริ่มทรุด หรือมีปัญหาปวดข้อเข่า  สิ่งที่ต้องทำคือการลดความเป็นกรดลงก่อน เพื่อให้ร่างกายไม่เสียแคลเซียม และเติมแคลเซียมไม่ให้เขาสูญเสียไปจากอวัยวะต่างๆ 

ความเป็นกรดทำให้ร่างกายขาดออกซิเจน เป็นการส่งเสริมให้เซลมะเร็งเติบโตเร็ว เซลมะเร็งจะชอบความร้อน การอักเสบ ชอบสารพิษต่างๆ มะเร็งในผู้หญิง เช่นมะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งรังไข่ ผู้ชาย เช่น มะเร็งปอด มะเร็งต่อมลูกหมาก

ทุกวันเราต้องดูแลตัวเองอย่างไรที่จะเอาสารพิษ เอาความเป็นกรดในเลือดออก

วิธีที่ 1 คือ ทำความสะอาดร่างกายโดยใช้น้ำ โดยมนุษย์ต้องการน้ำ 2-3 ลิตรต่อวัน
ตอนเช้า ตื่นมาดื่มน้ำอุ่น 2-3 แก้ว
ระหว่างวัน ดื่มน้ำทุกๆ ครึ่งชั่วโมง 2-3 อึก หรือประมาณ ครึ่งแก้ว ซึ่งช่วยบริหารไต ทำให้ผิวหนังเต่งตึงอุ้งน้ำได้ 
ดูว่าร่างกายขาดน้ำหรือไม่ ให้ดูที่สีปัสสาวะ ถ้ารับประทานน้ำเพียงพอจะมีสีเหลืองอ่อนๆ หรือ ไม่มีสี  ถ้าสีเข้มแสดงว่าขาดน้ำ

อาหารที่เรารับประทาน 2-3 มื้อต่อวัน เราทานอาหารประเภทกรด 20-30% อีก 70% เป็นด่างหรืออาหาร Alkaline food (ตามภาพด้านบน) ซึ่งอาหารที่เป็นกรดเช่น น้ำอัดลม ที่มีส่วนประกอบของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์   น้ำตาลในรูปของเครื่องดื่ม แอลกอฮอล์ต่างๆ กาแฟ น้ำผลไม้ทั่วไป

อาหารที่เป็นด่าง เช่น น้ำขิงไม่ไส่น้ำตาล ให้ความเป็นด่างพอประมาณ  ชาสมุนไพร เช่นชาดีท๊อก ชาล้างกรดส่วนเกินออกไปจากร่างกายได้  น้ำมะนาวสดควรใช้ผสมกับน้ำ เมื่อเข้าร่างกายจะเป็นสารต้านอนุมูลอิสระหลายตัวที่สามารถซับสารพิษออกไปได้

อาหารที่เป็นกรด ระดับความรุนแรงจากมากไปหาน้อย

รุ่นแรงมาก เช่น อาหารทอด อาหารที่ผ่านกระบวนการซับซ้อน มีการกลายพันธุ์ในพันธเคมี ทำให้มีพลังงานบางอย่างที่ทำลายเซล ทำให้ร่างกายต้องสูญเสียเอนไซน์หรือวิตะมินบางอย่างเพื่อมากำจัดของเสียเหล่านี้ออกไป บางคนรับรู้ได้ไว เมื่อกินแล้วจะรู้สึกร้อนใน

รองลงมา เช่นบาบีคิว อาหารกระป๋อง ผ่านกระบวนการเคมีที่ทำปฏิกิริยากับกระป๋อง

กรดอ่อนๆ เช่น อาหารแช่แข็ง ผ่านความเย็นจัด ทำให้มีสารพิษในอาหาร 

อาหารที่ปลอดภัย คืออาหารที่ไม่ผ่านกระบวนการใดๆ เป็นอาหารที่สามารถดูดซับสารพิษในร่างกายได้ สร้างความเป็นด่างในร่างกายได้แก่
1. อาหารประเภทต้ม ไม่สร้างปัญหา แต่จะทำให้สูญเสียวิตะมินบางอย่างไปในระหว่างต้ม เช่น เนื้อสัตว์ หรือพืช
2. อาหารที่อบหรือนึ่งในช่วงสั้นๆ ที่ไม่เกิน 100 องศา
3. อาหารที่ดีที่สุดคืออาหารสด (Raw Food) อาหารที่ไม่ผ่านกระบวนการใดๆ จะได้วิตะมินจากธรรมชาติเต็มๆ ในพืชผัก จะมีตัวต้านอนุมูลอิสระ ตัวต้านมะเร็ง หรือสารพิษอยู่ในตัว มีวิตะมินที่เรียกว่า ไฟโตนูเทรียน เป็นสารอาหารจากพืชกว่า10,000 ชนิด ช่วยให้เราอยู่รอดและต้านสารพิษได้ดี ซึ่งปัจจุบันมีการผลิตสารอาหารจากพืชผักออกมาขายเป็นจำนวนมาก เช่น บล๊อกเคอร์รี่ เป็นตัวต้านมะเร็งได้ดี เช่นมะเร็งเต้านม หรือ ส้ม ถั่วเหลือง สตรอเบอรี่ บลูเบอรี่ หรือองุ่น สับปะรด ที่มีเอ็นไซน์ช่วยย่อยอาหารที่ตกค้าง

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงได้แก่  
  • เป็ดย่าง ไส้กรอก อาหารกระป๋อง (มีวัตถุกันเสีย) อาหารปิ้งย่าง (เกิดคาร์บอน) การไหม้ของอาหารทำให้เกิดมะเร็งในร่างกาย  
  • ในไส้กรอก มีการไส่กรดกันเสียเช่น กรดเบนโทอิก เมื่อสะสมในร่างกายนานๆ มีผลต่อปลายประสาท ทำให้เกิดอาการชาตามตัว ความจำเสื่อม ถ้ายังทานอยู่ให้นำไปลวกก่อนนำไปทอด
  • เนย นม ให้ไขมันสูง โดยเฉพาะเนยเทียม หรือมาการีน ทำให้เลือดมีความเป็นกรด
  • ไอศครีม มีน้ำตาล เนย นม
  • ช็อกโกแลต
  • ถั่วบางชนิด โดยเฉพาะเนยถั่ว มีการเติมสารกันบูดลงไปเพื่อไม่ให้เกิดเชื้อรา ซึ่งเชื้อรามีสารอัลฟ่าท๊อกซิน ทำให้เกิดมะเร็งในตับ
  • อาหารขยะพวกฟาสฟู๊ด ร่างกายคนเราไม่สามารถย่อยอาหารพวกนี้ได้ เมื่อทานเข้าไป ร่างกายจะดึงสารอาหารในร่างกายออกมาย่อย ทำให้ร่างกายสูญเสียวิตะมินและเกิดสารพิษตกค้าง
  • ผลไม้บางชนิด เช่น ลางสาด ทุเรียน  เมื่อร่างกายมีความเป็นกรด สารพิษอยู่เยอะแล้ว ทำให้ร่างกายไม่สามารถเผาผลาญอาหารพวกนี้ได้ ทำให้ต่อมต่างๆ ในร่างกายไม่สามารถทำงานได้ ทำให้ป่วยง่าย เกิดโรคเรื้อรัง 
ดังนั้นเราต้องกินอาหารที่เป็นด่างเข้าไปล้างกรดออกมาเยอะๆ  การทำ AA Balance ไม่ไช่การบังคับให้เลิกสิ่งเหล่านี้ แต่เป็นการรักษาสมดุลย์ ความเป็นกรดด่างในร่างกาย โดยวิธี
  1. การเพิ่มออกซิเจนในเลือด ให้มีค่า pH ปกติ ซึ่งทำให้เซลของเราทำงานได้ดีขึ้น สร้างเม็ดเลือดได้ดีขึ้น 
  2. การล้างสารพิษให้เลือดบริสุทธิ์ขึ้น เมื่อเลือดบริสุทธิ์ ผิวพรรณก็จะดูสดใส เช่นการดื่มน้ำอโรเวล่าผสมน้ำทับทิมและองู่นที่ชื่อ Life Alo หรือ คลอโรฟิล ซึ่งมีความเป็นด่าง จากสารสีเขียวของผัก ซึ่งช่วยดูดซับสารพิษได้ดี ทำให้เกิดออกซิเจนในเลือด เชื้อต่างๆ ไม่สามารถเจริญเติบโตได้ เป็นการต่อต้านเชื้อรา แบคทีเรีย ไวรัส ทำให้แผลแห้งเร็วขึ้น จุลชีพต่างๆ ในร่างกายฝ่ายดีจะเจริญเติบโตได้ดี ทำให้ระบบย่อยอาหารดี ป้องกันโรคภูมิแพ้ ลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อ การอักเสบลดลง ไม่มีกลินตัว กลิ่นปาก กลิ่นเท้า ตับไตสะอาด
การทำ AA ฺBalance สามารถทำได้ทุกช่วงวัย สำหรับเด็ก เป็นการเสริมภูมิคุ้มกัน เสริมการทำงานระบบต่างๆ ของร่างกายให้ดีขึ้น

วันพุธที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2558

กิมจิ สูตรเกาหลีแท้





ห่างหายกันไปนานสำหรับการอัพเดทสูตรอาหารนะคะวันนี้แอดมินมีสูตรกิมจิ ต้นตำหรับจากเกาหลีโดยตรง เผอิญแอดมินได้ไปเรียนทำกิมจิมาจากครูชาวเกาหลีเลยนำมาฝากทุกท่านค่ะ  ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับกิมจิว่าคืออะไรกันก่อนค่ะ
กิมจิ (เกาหลี: 김치, MC: Gimchi, MR: Kimch'i คิมชี) มีข้อสันนิษฐานกันว่าน่าจะเพี้ยนมาจากคำว่า "ชิมเช" (เกาหลี: 침채, ฮันจา: 沈菜, MC: chimchae, MR: ch'imch'ae) ที่แปลว่าผักดองเค็ม กิมจิเป็นอาหารเกาหลีประเภทผักดองที่อาศัยภูมิปัญญาก้นครัวของชาวเกาหลี ด้วยการหมักพริกสีแดงและผักต่างๆ โดยทั่วไปจะเป็นผักกาดขาว ชาวเกาหลีนิยมรับประทานกิมจิเกือบทุกมื้อ และยังนำไปปรุงเป็นส่วนประกอบอาหารอีกหลายอย่าง เช่น ข้าวต้ม ข้าวสวย ซุป ข้าวผัด สตู บะหมี่ จนถึงพิซซาและเบอร์เกอร์ ปัจจุบันกิมจิมีมากกว่า 187 ชนิด ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะมีรสเผ็ด เปรี้ยว และมีกลิ่นฉุน แม้ปัจจุบันมีบริษัทอาหารผลิตกิมจิสำเร็จรูปหรือแบบสดขายตามห้างสรรพสินค้าก็ตาม แต่ชาวเกาหลีก็ยังนิยมทำกิมจิกินเองที่บ้าน
วัตถุดิบในการทำกิมจิโดยทั่วไปแล้วจะเป็นผักกาดขาว หัวผักกาด กระเทียม พริกแดง หัวหอมใหญ่ ปลาหมึก กุ้ง หอยนางรมหรืออาหารทะเลอื่น ๆ ขิง เกลือ และน้ำตาล
กิมจิมีมากมายหลายชนิดจากเอกสารของพิพิธภัณฑ์กิมจิในโซล กิมจิมีมากกว่า 187 ชนิดโดยจะแตกต่างกันตามถิ่นและสภาพอากาศ ตัวอย่างเช่นกิมจิหัวผักกาด (깍두기, kkakdugi) เป็นหัวผักกาดล้วนไม่มีผักกาดขาวผสม กิมจิแตงกวายัดไส้ (오이소배기, oisobaegi) และกิมจิผักกาดขาวที่ถือว่าเป็นกิมจิที่รู้จักกันมากที่สุดในนานาชาติ ซึ่งจะเป็นการผสมผักกาดขาว พริกแดง กระเทียม ขิง และน้ำซุบจากปลากะตัก (젓갈, jeotgal) เข้าด้วยกันซึ่งผักกาดขาวควรจะเป็นผักกาดขาวจีน จึงจะได้กิมจิที่มีรสชาติดีและจัด หากทำจากผักกาดขาวชนิดอื่นจะทำให้กิมจิมีรสชาติที่อ่อนลง
ทีนี้เรามาลองทำกิมจิกันตามสูตรนี้เลยนะคะ


ส่วนผสมกิมจิผักกาดขาว

ผักกาดขาว 3 หัว
น้ำหอมใหญ่คั้น 50 กรัม
กระเทียมสับ 5 กลีบ
น้ำขิงคั้น 26 กรัม
น้ำปลา 112 กรัม
น้ำตาลทรายแดง 2 ชต
แป้งข้าวเหนียวกวนสุกแล้ว 4 ช้อนโต๊ะ
พริกป่นเกาหลี 50 กรัม
โคชูจัง 2 ช้อนโต๊ะ
ต้นหอมหั่นประมาณ 1 นิ้ว 20 กรัม
ต้นกุ๋ยฉ่าย หั่น ประมาณ 1 นิ้ว 20 กรัม
หัวผักกาดญี่ปุ่น (ถ่าไม่มีใช้ของไทยก็ได้แต่จะรสขื่นกว่าหั่นเป็นเส้นตัดยาว 1 นิ้ว) 300 กรัม
น้ำแอปเปิ้ลสด 1 ลูก
น้ำสาลี่ 1/2 ลูก

วิธีทำ

1. นำผักกาดขาวมาหั่นครึง ถ้าหัวเล็ก หรือหั่น 4 ถ้าหัวใหญ่ หั่นตรงแกนกลางเล็กน้อย แล้วใช้มือจับแยก เพื่อให้ใบไม่ขาดจากกันมาก
2. นำผักกาดขาวไปล้างน้ำสะอาดก่อน แล้วนำมาผี่ง จากนั้นเอาเกลือเม็ดใหญ่มาไส่ระหว่างใบทุกชั่น นำไปแช่ในน้ำเกลือ ทิ้งไว้ประมาณ 3 ชั่วโมง เช็คว่าใบสลดจนสามารถพับได้โดยใบไม่แตกเป็นใช้ได้ นำไปล้างเอาเกลือออก 2-3 ครั้ง บีบน้ำออกให้หมด แล้วผึ่งไว้ให้สะเด็ดน้ำ
3. หั่นส่วนผสมต่างๆ ได้แก่ต้นหอม ใบกุ๋ยฉ่าย หัวไชเท้า  นำส่วนผสมมารวมกันไส่กระเทียมสับพักไว้ นำส่วนผสมพริกป่นเกาหลีมาคลุกให้เข้ากัน ไส่น้ำปลา น้ำแอปเปิ้ล น้ำขิงสด น้ำหอมใหญ่ โกชูจัง (พริกเกาหลี) น้ำตาลเล็กน้อย น้ำแป้งข้าวเนียว ผสมให้เข้ากันก่อน ให้ออกรสเค็มนำหวานตาม แล้วค่อยไส่ผสมกับผักที่เตรียมไว้ลงไปคลุกให้เข้ากัน
4. นำผักกาดขาวมาเอาน้ำที่ผสมไว้ทาให้ทั่วทั้งหน้าใบและหลังใบ เสร็จแล้วห่อผักกาดแต่ละชิ้นดังภาพ
5. ทิ้งไว้ข้างนอก 1 คืน หรือ 24 ชม ค่อยนำเก็บเข้าตู้เย็น ก่อนเก็บควรชิมรส ว่าเปรี้ยวตามที่ต้องการหรือไม่
สามารถไว้กินแกล้มกับอาหารปิ้งย่างเพื่อตัดความเลี่ยน หรือนำมาต้ม ไส่เบคอนหรือหมูสามชั้น ต้มด้วยกันจนเปื่อย กินเป็นแกงกิมจิได้ รสชาติออกเปรี้ยวๆ  ช่วยป้องกันไข้หวัด หรือรักษาลำไส้ให้มีการขับถ่ายที่ดีขึ้น


วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2554

คุกกี้เม็ดมะม่วงหิมะพานต์

ปีใหม่นี้เพื่อนๆ สั่งของขวัญกันหรือยังคะ



ปีนี้เราขอนำเสนอ คุกกี้เม็ดมะม่วงหิมะพานต์ เราผสมผสานเนื้อคุกกี้ด้วยเม็ดมะม่วงหิมะพานต์บดกับเนื้อช็อกโกแลตแท้ๆ แบบไม่หวงเครื่อง อร่อยมากค่ะ เป็นสินค้าขายดี สะดวกเป็นของขวัญของฝากเก็บไว้ได้นาน 

วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ติดตามผลงานของเราได้อีกทางหนี่ง ทาง facebook

  คุณสามารถติดตามเราได้อีกช่องทางหนึ่งได้ทาง Facebook ค่ะ เราจะมีอัพเดทเรื่อยๆ ค่ะ







วันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2553

พะแนงหมู



ส่วนผสมน้ำพริกแกง

พริกแห้งบางช้าง                 7 เม็ด
ตะไคร้และรากผักชี อย่างละ       2 ช้อนโต๊ะ
ข่า ยี่หร่าและลูกผักชี อย่างละ      2  ช้อนชา
กระเทียม หอมแดงและถั่วลิสงคั่ว อย่างละ     2 ช้อนโต๊ะ
พริกไทยป่น เกลือป่น และกะปิ อย่างละ    1 ช้อนชา
ผิวมะกรูด                       2   ช้อนชา

วิธีทำน้ำพริกแกง
โขลกส่วนผสมเครื่องแกงเข้าด้วยกันจนละเอียด

สิ่งที่ต้องเตรียม
เนื้อหมูหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ บางๆ ถ้าเป็นเนื้อวัวต้องติดมัน         400 กรัม
มะพร้าวขูดขาว                                          250 กรัม
น้ำมันพืช                                                1/4 ถ้วยตวงหรือมากกว่า
น้ำปลา                                                  2  ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลปี้ป                                                2  ช้อนโต๊ะ 
ใบมะกรูดซอย                                            4-5 ใบ
พริกชี้ฟ้าแดง เหลือง   ซอยเป็นเส้นๆ ไว้แต่งหน้า              4 เม็ด
ใบโหระพา   ไว้แต่งหน้า                                   4-5 ใบ
เพิ่มมะเขือพวง หรือยอดมะพร้าวอ่อนก็ได้
วิธีทำ
- คั้นมะพร้าวให้ได้กระทิ 3 ถ้วยตวง เตรียมไว้
- เคี่ยวกะทิให้แตกมันทิ้งไว้
- ผัดเครื่องแกงที่โขลกกับน้ำมันให้หอม ไส่กะทิที่เคี่ยวไว้ลงผัด ไส่เนื้อหมูผัดให้เข้ากัน ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาลปี้ป รสเค็ม หวาน เคี่ยวให้ไฟอ่อนๆ จนเหลือน้ำแกงขลุกขลิก (ไส่มะเขือพวงและยอดมะพร้าวอ่อนรอให้สุก) ตักไส่จานโรยด้วยใบมะกรูดหั่นฝอยและพริกชี้ฟ้าแดงเหลืองซอย แต่งหน้าด้วยใบโหระพา                          

เค้กกล้วยหอม




ส่วนผสม




แป้งสาลีทำเค้ก            300 กรัม
เกลือป่น                  1   ช้อนชา
เบคกิ้งโซดา             1 1/4 ช้อนชา
ผงฟู                    1 1/4 ช้อนชา
น้ำตาลทราย               340 กรัม
ไข่ไก่                       3 ฟอง
มาร์การีน                  80 กรัม
เนยสดชนิดเค็ม            100 กรัม
กล้วยหอมบด (สุกมากๆ)    300 กรัม
นมข้นจืด                  125 กรัม
น้ำมะนาว                   1  ช้อนโต๊ะ

สิ่งที่ต้องเตรียม
พิมพ์ถ้วยจีบเบอร์ 2816 รองด้วยถ้วยกระดาษ จำนวน 35 พิมพ์

วิธีทำ










1. ผสมนมข้นจืดและน้ำมะนาวเข้าด้วยกัน พักไว้




2. ร่อนแป้งสาลีทำเค้ก เกลือป่น เบคกิ้งโซดาและผงฟูเข้าด้วยกัน ไส่น้ำตาลทรายลงในแป้ง ใช้พายยางคลุกผสมให้เข้ากัน




3. ตีส่วนผสมแป้งที่ร่อนเตรียมไว้กับเนยสดและมาร์การีน ใช้หัวใบไม้ ความเร็วต่ำจนส่วนผสมเป็นเม็ดทราย





ใส่กล้วยหอม เพิ่มความเร็วปานกลาง ตีจนส่วนผสมเข้ากันเป็นเนื้อเนียน





ใส่ไข่ไก่ทีละฟองจนหมด ตีส่วนผสมจนเนื้อเนียน





ตามด้วยนมเปรี้ยว ตีผสมจนเข้ากัน





ปิดเครื่อง ใช้พายยางคนผสมให้เข้ากันอีกครั้ง





4. ตักไส่พิมพ์ถ้วยจีบประมาณ 3/4 ของพิมพ์





5. นำเข้าอบไฟล่าง-บน 450 องศาฟาเรนไฮด์




เวลาประมาณ 12-15 นาที อบไฟแรงๆ เพื่อให้ตรงกลางเค้กนูนขึ้น







การเช็คว่าสุก  เค้กนูนขอบสีน้ำตาลสวยหรือใช้ไม้ปลายแหลมจิ้มไปที่ถ้วยกลางถาด ถ้าไม่มีเนื้อเค้กติดแสดงว่าสุกแล้ว รีบนำออกจากพิมพ์วางบนตะแกรง พักไว้ให้เย็นสนิท